เมือง Alexandria เป็นเมืองพักตากอากาศของอียิปต์และของโลก ถ้าใครไปตอนฤดูท่องเที่ยวของเค้า คนก็จะเยอะมาก รถก็จะติดมากๆๆๆๆๆ เราไม่ได้เห็นกับตาตัวเองหรอก ไกด์บอกทั้งนั้น แต่ขนาดเราไปในช่วงที่ไม่ใช่หน้าเทศกาล รถยังค่อนข้างติดเลยค่ะ เมืองนี้จะเจริญผิดหูผิดตากับ Cairo มาก มีโรงแรมดังๆมากมายริมแม่น้ำ แต่ความสะอาดนี่เราก็ไม่แน่ใจ คือเราอยากตั้งชื่อประเทศนี้ว่าเมืองแห่งฝุ่นจริงๆ คือไม่ว่าจะซอกมุมไหนก็มีฝุ่น เพราะมันห้ามไม่ได้จริงๆ ยังคุยกับพ่อเลยว่าคนประเทศนี้เค้าน่าสงสารเนอะ มีเครื่องกรองฝุ่นก็คงไม่ช่วยเท่าไหร่ วิวที่นี่สวยมากๆเลย รู้สึกเหมือนตัวเองมาเที่ยวยุโรป เราก็ได้แต่นึกในใจ ทำไมทัวร์ไม่พาตรูมาพักที่นี่วะ แต่ก็เข้าใจว่า Alexandria มันอยู่ไกลจากเมืองอื่นๆที่เราจะต้องไปในวันถัดๆไปมั้งเค้าเลยไม่ให้พักที่นี่
คือในรูปนี้ถ่ายจากร้านอาหารค่ะ มันเลยติดกระจก ภาพอาจจะไม่สวย ต้องไปดูกับตา สวยมากจริงๆ
พอไปถึงเมือง Alexandria ที่แรกที่เราไปคือ Catacomb เป็นหลุมฝังศพใต้ดิน เป็น 1 ในสิ่งมหัศจรรย์แห่งโลกยุคกลาง เราตื่นเต้นมากเลย ข้างในเค้าไม่ให้ถ่ายรูปเลยไม่มีรูปมาโชว์ เอาเป็นว่าข้างในจะเป็นหลุมฝังศพเป็นพันๆหลุมเลยค่ะ (ไม่รู้เวอร์ไปป่าวแต่มันเยอะมากเลยค่ะ) แล้วก็จะมีที่ไว้ศพสำหรับเจ้าของ catacomb ซึ่งจะตกแต่งสวยมาก ส่วนหลุมอื่นๆก็จะเป็นช่องๆ เหมือนห้องดับจิตอะ ตอนแรกเราก็ไม่คิดอะไร สักพักเราเดินๆเข้าไปตรงที่เป็นที่วางศพคนธรรมดา แล้วเราเดินเข้าไปแค่ 4 คนค่ะ เพราะคนอื่นเค้าไม่เข้ามาดู ระหว่างเดินเรารู้สึกเหมือนมากับมาทัวร์กับอาจารย์ป๋องเลยค่ะ คือมันน่ากลัวมาก ข้างในมันมืด (เค้าก็ไม่ได้บังคับให้เข้ามา เจือกเข้ามาเอง -.-!) อากาศข้างนอกคือหนาวมากแต่พอเข้าไปข้างในเรากลับร้อนค่ะ (ใครเจอผีแล้วร้อนฟระ มโนเองทั้งนั้น) เราเลยได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไรนะ เรามีพระ พอมาคิดอีกที เอ๊ะผีมุสลิมจะกลัวพระป่าววะ เริ่มเครียดทันที! เลยรีบๆเดิน พอออกมาจากจุดๆนั้นได้เรารู้เลยว่าทำไมเค้าไม่ให้เอากล้องเข้ามา เกิดนักท่องเที่ยวถ่ายรูปติดวิญญานขึ้นมาคงไม่กล้ามากันอีก เหลือแต่พวกท้าพิสูจน์วิญญานอะไรพวกนี้ แต่สนุกดีค่ะ
ขอออกนอกเรื่องเผาตัวเองนิดนึง คือในสุสานเนี่ยมันมีเพดานเป็นรูปเปลือกหอย เราก็สงสัยว่าอียิปต์มันเป็นทะเลทราย คนมันจะรู้ได้ไงว่าเปลือกหอยเป็นยังไง เราเลยพูดขึ้นมากับพ่อว่า สมัยก่อนแถวนี้ต้องเป็นทะเลมาก่อนแน่ๆแล้วเกิดการแห้งแล้งจนเป็นทะเลทราย คนเลยรู้จักเปลือกหอยไง พูดในสุสาน ซึ่งทุกคนจะไม่ค่อยคุยกันเนื่องจากบรรยากาศค่อนข้างอึมครึม ดังนั้นเราคิดว่าประมาณ 50% ของคนในนั้นได้ยินที่เราคุยกับพ่อแน่ๆ พอเราไปทานมื้อเที่ยงนี่คือเราหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆเลยค่ะ ไปทานมื้อเที่ยงริมทะเลเมดิเตอเรเนียน (ไอง่อวววว ให้ตายเถอะ) เรานี่พยายามลืมว่าเราเคยพูดอะไรไว้ แต่เหมือนพยายามลืมเท่าไหร่มันก็ยิ่งตอกย้ำตัวเองเข้าไปอีก ("ไอง่อววววว" ก้องอยู่ในใจ)
หลังจากที่เรากินข้าวเที่ยงเสร็จ เราก็ไปชมเสา Pompeii ตอนแรกคือเราไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร ตอนไกด์อธิบายความสำคัญของเสาเราแบบทำหน้าเข้าใจมาก ไอเสา Pompeii ที่มันโดนภูเขาไฟระเบิดนี่เอง สักพักพอไปถึง เหมือนมีอะไรบางอย่างมันบอกเราว่าภูเขาไฟระเบิดมันน่าจะทำลายเป็นบริเวณกว้างมันไม่น่าจะทำลายแค่นี้ พอถามไกด์เท่านั้นแหละ หน้าแตกมากเลย เราหน้าแตกคนเดียวไม่พอ อธิบายให้พ่อฟังไปแล้วด้วยว่าไอเสาที่โดนภูเขาไฟระเบิดไง -.-! ทำไมตูคิดไม่ได้วะว่าอียิปต์มันไม่มีภูเขาไฟฟระ
เสาปอมเปย์ หรือ Pempeii's Pillar มันไม่ได้สำคัญเพราะเจอภูเขาไฟค่ะ แต่มันสำคัญเพราะมันเป็นเสาโบราณสมัยโรมันปกครองอียิปต์ ซึ่งปอมเปย์เป็นชื่อเพื่อนสนิทของซีซ่า ซึ่งตอนหลังกลายเป็นศัตรูกันแล้วปอมเปย์หนีมาอยู่อียิปต์ค่ะ ว่ากันว่าสุดท้ายซีซ่าได้เผาศีรษะของปอมเปย์ที่เสานี้ ข้างหน้าเสาร์จะมีสฟิงซ์ชิ้งชิ้งอีกสองตัว เราก็ได้แต่ไปยืนถ่ายรูปสวยๆ จะสังเกตได้ว่าตึกทางขวามือมันเหมือนตึกยังสร้างไม่เสร็จ อยากจะบอกว่าตึกราบ้านช่องเค้าเป็นแบบนี้ทั้งประเทศค่ะ คือเค้าจะสร้างตึกแบบยังไม่เสร็จเพื่อที่จะไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือน สีก็ไม่ทา เพราะทายังไงก็มีฝุ่นอยู่ดี เป็นประเทศแห่ง Earth tone ค่ะ ไม่ต้องใช้ app เลย (ตอนหลังๆตัวเราก็เริ่มเป็นสี Earth tone เหมือนกัน ปรับสภาพตามสีพื้นหลัง)
เสร็จจากดูเสาละเราก็ไปแวะห้องสมุดค่ะ (อยู่เมืองไทยไม่ค่อยได้ไปเล้ย) ห้องสมุดที่นี่อลังการงานสร้างมาก เข้าไปนี่เราลืมตัวร้องออกมาว่า โหววววววว ใหญ่มากกกกก คือแบบมันอลังการงานสร้างมากจริงๆ ข้างหน้าห้องสมุดก็สวยมาก มีตัวอักษรของทุกภาษาเลยค่ะ ถ้าเค้าหลอกเราก็เชื่ออะนะ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าทั้งโลกมันกี่ภาษาแล้วแต่ละภาษามันเขียนยังไง แต่ที่แน่ๆมีภาษาไทยด้วยค่ะ เราคิดว่าเป็นตัว "บ." แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นภาษาไทยหรือภาษาอื่นเหมือนกัน -.-! เอาเป็นว่าเราเชื่อก็ได้ ที่นี่มีสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เราค้นพบ...คือ....ที่นี่เป็นที่แรกตั้งแต่ที่เรามาอียิปต์ที่เราเจอ free wifi ค่ะ ตรึ้งๆเล่นไลน์ อัพเฟซด่วนก่อนจะไปที่อื่นต่อ ทุกคนนี่ไม่ต้องมองหน้ากันเลย สังคมก้มหน้าจึงเกิดขึ้น ณ จุดๆนี้โดยฉับพลัน
หลังจากหมดเวลาการติดต่อโลกภายนอกแล้วเราก็ไปดูป้อมปราการ Citadel ค่ะ ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของประภาคารฟาโรส ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสิ่งมหัสจรรย์ของโลกโบราณ แต่เรามาช้าไป มันไม่เหลือแล้ว 555 เหลือแต่วิวสวยๆแค่นั้น แต่ประภาคารสวยมากค่ะ เรานึกว่าเป็น Chateaux ในฝรั่งเศสซะอีก ถ้าไม่นับรวมร้านข้างทางอะนะ
ตอนนี้คือเหนื่อยมากละ เลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปสักเท่าไหร่ เสร็จจากจุดนี้ก็ไปสวน Montaza ค่ะสร้างโดยกษัตริย์ฟารุค ท่านน่ารักมากเลยค่ะ สร้างให้ภรรยาของท่าน สวนแห่งนี้จะเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ต่างๆนานาเป็นพันชนิดเลยค่ะรวบรวมมาจากหลายๆประเทศ มีพระราชวังของท่านอยู่ในนี้เหมือนเป็นอาคารสมัยก่อนในละครช่อง 3 อะ ระเบียงอาคารทำให้เรานึกถึงฉากในเรื่องอลาดินมากๆตอนที่เจ้าหญิงจัสมินมาคุยกับอลาดินที่ระเบียง ภรรยาท่านคงรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิง Disney จริงๆ (แต่เค้าก็เป็นเจ้าหญิงจริงๆนี่นะ) แล้วเราก็คิดไปอีกว่า โหวอาคารขนาดนี้มาตั้งอยู่ในอียิปต์ต้องมีคนใช้กี่คนวะเนี่ย เพราะต้องทำความสะอาดทั้งวันแน่ๆ ฝุ่นมันเยอะขนาดนี้ แต่สุดท้ายพระองค์ก็ถูกเนรเทศไปอยู่ต่างประเทศและไม่ได้กลับมาอีกเลยค่ะ น่าเสียดายมากๆ สวนสาธารณะนี้เลยกลายเป็นของสาธารณะชนโดยปริยาย ซึ่งก็ต้องเสียค่าเข้าชมตามธรรมเนียม มาอียิปต์ อย่าหวังของฟรีค่ะ ของฟรีหายากยิ่งกว่างมเข็มในอวกาศอีกค่ะ (อาจมีแต่ตูซวย เจอแต่เสียเงิน)
หลังจากเข้าห้องน้ำเรียบร้อยเราก็ขออนุญาตให้ไกด์พาไปแวะฟาร์มระหว่างทางกลับจาก Alexandria ไป Cairo ค่ะ อยากบอกว่าสตรอเบอร์รี่ถูกมากกกกกก ถูกกว่าส้มบ้านเราอีกค่ะ เรานี่รีบซื้อเลย อร่อยด้วย ไม่เปรี้ยวมาก ลูกก็โตมากด้วย อีกอย่างที่อร่อยคือมันจะมีส้มผลเล็กๆเท่านิ้วโป้งอะค่ะ สามารถกินได้ทั้งเปลือก อร่อยมากกกกกกก ต้องกินจากตูดส้มไปปากส้มนะคะ (ปากส้มคือตรงที่ต่อกับก้าน) คือตอนกัดตูดส้มมันจะเปรี้ยวมากกกก แต่พอกินจนถึงปากส้มมันจะหวานมากค่ะ นี้ละมั้งที่เค้าเรียกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน (สรุปเอง) อีกอย่างที่ถูกคือ อินทผาลัม ซื้อไปเลยค่า ถูกและอร่อย จัดไปเต็มๆ
อยากจะโม้อีกเรื่องนึง คืออยู่ที่นี่คือเราเซเลบมากอ่ะ ตอนไปแวะฟาร์ม เราก็เดินถ่ายรูปผลไม้แปลกๆไปเรื่อยๆ สักพักมีพนักงานประมาณ 5 คนเดินมาหาเรา แล้วก็พูดภาษาอียิปต์ซึ่งเราฟังไม่รู้เรื่องก็ทำหน้างง ปรากฏว่าเค้าหยิบมือถือขึ้นมาแล้วทำท่าขอถ่ายรูปค่า ตอนแรกเรานึกว่าเค้าจะให้เราถ่ายรูปเค้าแล้วเก็บเงินเรา เราเลยบอกไม่เป็นไร 5555 คือตูโดนมาเยอะแล้วเมิงอย่ามาหลอก แต่จริงๆคือเค้าขอถ่ายรูปกับเราค่ะ แล้วขอถ่ายทั้ง 5 คนเลยนะ มีคนนึงขอเชคแฮนด์เราด้วย เราก็เชคแฮนด์แล้วเค้าก็พูดอะไรไม่รู้ เราก็งง จนเพื่อนเค้าบอกเค้าว่าพอแล้วๆ แล้วปัดมือเค้าออกจากมือเรา 55555 เซเลบเค้ารู้สึกอย่างงี้นี่เอง วะฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ ฟินสุดๆ รู้สึกสวยทันที (อยู่เมืองไทยนี่ อย่าได้หวังอะไรแบบนี้)
หลังจากช้อปปิ้งเสร็จเราก็กลับโรงแรม เปิดทีวีจะดูซะหน่อย รู้ตัวอีกทีก็เช้าวันที่ 3 แล้วจ้า หลับไม่รู้ตัว 5555
ไว้มาเล่าทริปวันที่ 3 ต่อนะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น